ปี ค.ศ. 1966 แมวชื่อ เบิร์มานดิ้ง เดมเบ็ล เบิร์ด Burmese cat named Dermis Berman ถูกผสมพันธุ์กับแมวที่ไม่มีขนที่ชื่อ เลดิ เบิร์ด a hairless cat named Lady โดยอาจไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสร้างสายพันธุ์แมวสฟิงซ์ แต่เป็นเหตุการณ์บางอย่างที่มีส่วนในการสร้างพันธุ์แมวสฟิงซ์ในอนาคต ปี ค.ศ. 1975 นักเลี้ยงแมวชื่อ มาริอัน เวลล์ส์ Margaret Wells จากเมืองโทรอนโต Toronto
ในประเทศแคนาดา ได้นำลูกแมวสายพันธุ์สุนัขแมวที่ไม่มีขนที่ชื่อ เอลซินคี Elsie กลับบ้านมาเลี้ยง เธอพยายามกามผสมพันธุ์เอลซินคีกับแมวสายพันธุ์อื่นๆ เพื่อสร้างสายพันธุ์แมวที่ไม่มีขน ปี ค.ศ. 1978 มาริอัน เวลล์ส์ได้ร่วมมือกับนักเลี้ยงแมวชื่อ แดน แบาร์รี Dain Barrie เพื่อผสมพันธุ์เอลซินคีกับแมวสายพันธุ์คริมโรเลียน Rex ที่ชื่อ ดีฟาย Dee-Fi เพื่อให้แมวที่เกิดได้มีความคล้ายคลึงกับเอลซินคีมากขึ้น
ปี ค.ศ. 1979 สมาคมแมวอเมริกัน CFA รับรองแมวสฟิงซ์เป็นสายพันธุ์แมวที่เกิดจากการผสมพันธุ์เอลซินคีและแมวสายพันธุ์คริมโรเลียน และให้แมวสฟิงซ์ได้รับการแข่งขันในกลุ่ม พันธุ์พิเศษ ในปี ค.ศ. 1986 สถาบันการลงทะเบียนแมว TICA ก็เริ่มยอมรับแมวสฟิงซ์เป็นสายพันธุ์อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การผสมพันธุ์และการพัฒนาสายพันธุ์แมวสฟิงซ์ได้รับความสนใจและความนิยมในทั่วโลก สายพันธุ์แมวสฟิงซ์ได้รับการยอมรับในสมาคมแมวหลายแห่งและยังคงเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในช่วงสมัยปัจจุบัน
ลักษณะทางพันธุ์กรรมแมวสฟิงซ์
ลักษณะทางพันธุ์กรรมของแมวสฟิงซ์มีดังนี้
1.ลักษณะภายนอก แมวสฟิงซ์มีร่างกายเล็กตามขนาดธรรมดาของแมว ตัวที่เปลือยเนื้อผิวดูสดใสและไม่มีขนส่วนใหญ่ อาจมีขนบางๆ หรือเส้นผมอ่อนๆ ที่ปรากฏบนผิวหนัง ผิวหนังของแมวสฟิงซ์สามารถมีสีและลวดลายที่หลากหลายได้ อาจเป็นสีเทาเข้ม สีชมพู สีดำ หรือสีอื่นๆ ที่มีอยู่ในแต่ละฟักฟูของแมวสฟิงซ์
2.ผิวหนัง ผิวหนังของแมวสฟิงซ์มักจะมีลักษณะรอยริ้วเล็กๆ ที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ในบริเวณหัว คอ และตัว ลักษณะนี้เป็นเพราะการพัฒนาของผิวหนังที่เปลี่ยนไปจากแมวทั่วไปที่มีขนคลุมตัว ริ้วรอยนี้มอบความเป็นเอกลักษณ์แก่แมวสฟิงซ์
3.ลักษณะหน้า แมวสฟิงซ์มีหน้าที่สอดคล้องกับความเป็นพันธุ์ของพวกเขา มีขนาดของหูใหญ่ ตาเป็นรูปวงกลมหรือรูปทรงฟันเลื่อน จมูกเล็กและเป็นรูปตรง ลิ้นเป็นสีชมพูหรือสีอื่นที่สอดคล้องกับสีผิวหนังของแมว
4.ลักษณะทางพฤติกรรม แมวสฟิงซ์มักจะมีลักษณะทางพฤติกรรมที่น่าสนใจ พวกเขาเป็นแมวที่รักความสัมพันธ์และการได้รับความรักจากเจ้าของ เขามีความสนใจในการเล่นและมีอัจฉริยะสูง แมวสฟิงซ์เป็นแมวที่เปิดเผยความเป็นมิตรและมีความอ่อนโยนต่อผู้คน ส่วนใหญ่พวกเขามีความสามารถในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมและสามารถเล่นกับเด็กและสัตว์เลี้ยงอื่นได้ดี
สำหรับลักษณะทางพันธุกรรมเพิ่มเติมหรือรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกพันธุ์แมวสฟิงซ์ ควรปรึกษาข้อมูลจากเพศวิถีและสมาคมแมวอาเซียนหรือสมาคมท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญในแมวสฟิงซ์ใกล้บ้านคุณ
วิธีการเลี้ยงแมวสฟิงซ์
การเลี้ยงแมวสฟิงซ์มีบางประการที่ต้องคำนึงถึงเพื่อให้มั่นใจว่าแมวจะมีสุขภาพและความสุขอย่างเต็มที่ นี่คือวิธีการเลี้ยงแมวสฟิงซ์
1.การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แมวสฟิงซ์ต้องการสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเพียงพอให้พวกเขารับรู้ความเป็นเจ้าของของคุณ ควรจัดเตรียมผ้าห่มหรือเสื้อผ้าสำหรับแมวเพื่อช่วยในการรักษาความอบอุ่นของพวกเขาในระหว่างเวลาที่มีอากาศเย็น นอกจากนี้เพียงพอในการจัดเตรียมตู้เตี้ยมและที่ซ่อนหรือเสริมสำหรับพักผ่อนของแมวเพื่อให้พวกเขามีที่เป็นของตัวเอง
2.การอาบน้ำและการดูแลผิวหนัง แมวสฟิงซ์มีผิวหนังที่สูงความอ่อนไหว ดังนั้นจำเป็นต้องอาบน้ำเป็นระยะ ใช้สบู่หรือแชมพูที่เหมาะสมสำหรับแมว และใช้น้ำอุ่นในการล้างอย่างสะอาด อย่าลืมเช็ดผิวหนังและประกอบด้วยการใช้ผ้าที่สะอาดหรือผ้าเช็ดตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อให้ผิวหนังของแมวสฟิงซ์เหลืองสะอาดและไม่มีความมันสูงเกินไป
3.การดูแลเรื่องอาหาร เลือกอาหารที่เหมาะสมสำหรับแมวสฟิงซ์ ซึ่งอาจรวมถึงอาหารที่ช่วยให้รักษาความสมดุลของผิวหนังและสุขภาพทั่วไปของแมว เพื่อให้พวกเขาได้รับสารอาหารที่เพียงพอและสมบูรณ์ ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการเลือกอาหารที่เหมาะสมและปริมาณที่เหมาะสมสำหรับแมวสฟิงซ์ของคุณ
4.เลือกเวลาเล่นและการออกกำลังกาย แมวสฟิงซ์มีสมาธิและความอยากเล่นสูง จึงควรจัดเวลาให้พวกเขาเล่นและออกกำลังกาย เล่นกับแมวด้วยของเล่นที่เหมาะสมและให้พวกเขามีพื้นที่สำหรับการเดินเล่น เช่น ต้นไม้ติดตั้ง แทรมปูน หรือของเล่นแบบแข็งแรง เป็นต้น
5.การเอาใจใส่สุขภาพและการเยี่ยมชมสัตวแพทย์ ให้แมวสฟิงซ์ของคุณได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงการฉีดวัคซีนและการกำจัดพยาธิ นอกจากนี้ให้สังเกตและติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแมวของคุณ หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยใดๆ ควรพบสัตวแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ถิ่นกำเนิดสายพันธุ์แมวสฟิงซ์
- สายพันธุ์แมวสฟิงซ์ถิ่นกำเนิดมาจากการเกิดขึ้นแบบสุ่ม ณ ประเทศแคนาดาในปี ค.ศ. 1960 โดยมีต้นกำเนิดจากลูกแมวที่เกิดขึ้นและมีการกลายพันธุ์ที่ผิดปกติทางพันธุกรรม ลูกแมวคนแรกที่เกิดขึ้นและมีลักษณะไม่มีขนคือลูกแมวชื่อ เอลซินคีElsie โดยผู้เลี้ยงแมวชื่อ เร็กซ์ Rex ซึ่งเป็นเจ้าของของแมวเอ็กโซติก ได้นำลูกแมวนี้มาเลี้ยงต่อ และเลี้ยงรุ่นต่อไปเพื่อสร้างสายพันธุ์ใหม่ของแมวที่ไม่มีขน
- จากนั้นมีการผสมพันธุ์ระหว่างแมวที่ไม่มีขนกันเองและแมวพันธุ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและความแข็งแรงในสายพันธุ์ ในระหว่างนี้มีการรวบรวมแมวที่ไม่มีขนมาจากหลายที่ทั่วโลก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อินเดีย และยุโรป แมวสายพันธุ์สฟิงซ์แรกที่รับการยอมรับเป็นอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1970 และได้รับการยอมรับโดยองค์กรแมวสายพันธุ์อเมริกัน CFA ในปี ค.ศ. 1979
- สฟิงซ์แคตที่เราเห็นในปัจจุบันมีการผสมของแมวที่ไม่มีขนกับแมวพันธุ์อื่นๆ ที่มีขน แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ของคุณสามารถเป็นผลิตภัณฑ์จากการผสมของแมวสฟิงซ์พร้อมกับแมวพันธุ์อื่นๆ ที่มีขนคลุมตัว
อย่างไรก็ตามสฟิงซ์แคตมีความเป็นสายพันธุ์ที่มีลักษณะไม่มีขนอย่างเป็นทางการและมีความเฉพาะเจาะจง แมวสฟิงซ์ต้องมีการเลี้ยงและการดูแลเฉพาะเพื่อรักษาสุขภาพและความพิเศษของพวกเขาให้เหมาะสม
โรคที่พบบ่อยในแมวสฟิงซ์และวิธีการรักษา
แมวสฟิงซ์อาจมีความเสี่ยงต่อบางโรคหรือปัญหาสุขภาพเฉพาะที่มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ นี่คือบางโรคที่พบบ่อยในแมวสฟิงซ์และวิธีการรักษาที่เป็นทั่วไป
1.โรคผิวหนัง แมวสฟิงซ์อาจมีความเจ็บปวดหรือการอักเสบบนผิวหนัง อาจมีการระคายเคืองหรือการติดเชื้อบริเวณผิวหนังเนื่องจากความแตกต่างในระบบการผลิตน้ำมันผิวหนัง การรักษาอาจจำเป็นต้องใช้การให้ยาต้านการติดเชื้อ การใช้ยาสำหรับการรักษาผิวหนัง หรือการดูแลรักษาผิวหนังให้สะอาดและชุ่มชื่น
2.การผลิตน้ำมันผิวหนัง แมวสฟิงซ์อาจมีปัญหาในการผลิตน้ำมันผิวหนังที่ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังแห้งและมีความหยาบกระด้าง การใช้โลชั่นหรือโออิลเมนต์ที่เป็นสารบำรุงผิวหนังสามารถช่วยบำรุงและเติมเต็มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังของแมว
3.โรคหืด แมวสฟิงซ์อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหืดที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น การอักเสบทางเดินหายใจส่วนล่างหรืออักเสบทางเดินหายใจเรื้อรัง การรักษาอาจแสดงเป็นการให้ยาประเภทสเตียรอยด์หรือยาแก้แพ้ เพื่อควบคุมอาการอักเสบและอาการหายใจที่ผิดปกติ
4.โรคหัวใจ แมวสฟิงซ์อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น โรคตับแตกหักของลิ้นหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกายภาพ การรักษาอาจแสดงเป็นการให้ยาเพื่อช่วยลดอาการอักเสบหัวใจ การควบคุมอาการอักเสบหัวใจ หรือการรักษาปัญหาร่างกายที่เกี่ยวข้อง
5.โรคภูมิแพ้ แมวสฟิงซ์อาจมีความไวต่อการแพ้ต่อสารบางอย่าง เช่น อาหารหรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม การรักษาอาจแสดงเป็นการตัดอาหารที่เป็นสาเหตุของการแพ้ การให้ยาต้านการแพ้ หรือการจัดการและลดปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแพ้
การรักษาโรคและปัญหาสุขภาพในแมวสฟิงซ์ขึ้นอยู่กับอาการและอาการที่ปรากฏ การปรึกษาสัตวแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคของแมวสฟิงซ์ของคุณเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่เหมาะสม แมวสฟิงซ์เป็นสายพันธุ์แมวที่มีลักษณะไม่มีขนหรือมีขนน้อย มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์แบบสุ่ม โดยต้นกำเนิดมาจากแคนาดาในปี ค.ศ. 1960 จากแมวที่มีลักษณะไม่มีขนที่ชื่อว่า เอลซินคี
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแมวสฟิงซ์
- แมวสฟิงซ์มีขนหรือไม่
-
- แมวสฟิงซ์มีลักษณะไม่มีขนหรือมีขนน้อยกว่าแมวพันธุ์อื่นๆ
- แมวสฟิงซ์ต้องการการดูแลผิวหนังเพิ่มเติมหรือไม่
-
- ใช่ แมวสฟิงซ์ต้องการการดูแลผิวหนังเพิ่มเติม เช่น การอาบน้ำและการใช้โลชั่นหรือโออิลเมนต์เพื่อบำรุงผิวหนัง
- แมวสฟิงซ์เหมาะสำหรับคนที่แพ้แมวหรือไม่
-
- แมวสฟิงซ์อาจเหมาะสำหรับคนที่แพ้อาการแพ้แมวเนื่องจากพวกเขามีจำนวนขนน้อยกว่าแมวพันธุ์อื่น แต่ควรทดลองมานั่งสัมผัสกับแมวสฟิงซ์ก่อนเพื่อตรวจสอบว่าคุณมีอาการแพ้หรือไม่
- แมวสฟิงซ์ต้องการการออกกำลังกายเพิ่มเติมหรือไม่
-
- ใช่ แมวสฟิงซ์ต้องการการออกกำลังกายและการเล่นเพิ่มเติม เช่น เล่นกับของเล่นที่เหมาะสมและการให้พื้นที่สำหรับการเดินเล่น
- อายุขัยของแมวสฟิงซ์เป็นเท่าไร
-
- อายุขัยของแมวสฟิงซ์ทั่วไปอยู่ในช่วง 12-16 ปี อย่างไรก็ตาม อายุขัยของแมวสามารถขึ้นอยู่กับการดูแลและสุขภาพที่ดีทั้งทางกายและจิตใจของพวกเขา
บทความที่น่าสนใจ :ธารน้ำแข็ง ภาวะโลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งอาร์กติกละลายทุกวันจริงหรือไม่